วิธีคำนวณแคลอรี่ ที่คนอยากลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ต้องรู้ไว้

เมื่อพูดถึง “แคลอรี่” เราก็จะต้องนึกถึงอาหาร และปริมาณแคลอรี่ที่จำเป็นต้องรู้อาจจะไม่จำเป็นสำหรับคนที่ไม่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหารในแต่ละวัน ซึ่งมันจะจำเป็นอย่างมากสำหรับคนที่อยากผอม เพราะในอาหารแต่ละชนิดที่เรากินเข้าไป ล้วนมีปริมาณแคลอรี่ที่แตกต่างกัน มือใหม่ที่หันมาควบคุมการกินอาหาร อาจจะยังไม่มีความรู้มากพอ ส่งผลให้กินอาหารแบบผิดๆ กินน้อยเกินความต้องการของร่างกาย หรือกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์แต่กลับอุดมไปด้วยแคลอรี่ในปริมาณสูง เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่จะบอกได้ว่าการลดความอ้วนจะประสบความสำเร็จได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเรามีความรู้ วิธีคำนวณแคลอรี่ มากพอในการควบคุมปริมาณแคลอรี่มากน้อยแค่ไหนด้วย

ทำความรู้จักกับ แคลอรี่ ในอาหารให้มากขึ้น

แคลอรี่ คือคำจำกัดความที่เอาไว้เรียกปริมาณพลังงานในอาหารและพลังงานที่มนุษย์ทั่วไปควรได้รับในแต่ละวัน เรามักจะเห็นเป็นที่คุ้นตาตามฉลากสินค้าอาหารที่มีการระบุปริมาณแคลอรี่ของพลังงานรูปแบบต่างๆ เอาไว้อย่างชัดเจน ตามหลักมาตรฐาน ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องได้รับพลังงานที่เพียงพอต่อการทำกิจกรรมไม่ควรเกิน 2,000 กิโลแคลอรี่ และไม่ควรต่ำมากไปกว่านี้ เพื่อให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการทำงานต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

สารอาหารแต่ละอย่างที่เรารับเข้าไปก็มีปริมาณพลังงานที่แตกต่างกัน โดยไขมันจะเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุดประมาณ 9 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม รองลงมาคือคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่มีพลังงานเท่ากันคือ 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม

ในความเป็นจริงปริมาณพลังงานที่เราควรได้รับต่อวันตามที่กล่าวไปข้างต้น เป็นเพียงรูปแบบมาตรฐานที่จะเอาไว้ช่วยป้องกันไม่ให้เรารับเอาพลังงานเกินปริมาณ จนทำให้ร่างกายเก็บไว้ใต้ชั้นผิวหนังในรูปไขมันจนส่งผลให้เกิดภาวะอ้วน แต่ก็ยังมีผู้คนบางส่วนที่จำเป็นต้องได้รับพลังงานเกิน 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน นั่นก็คือผู้ที่ต้องใช้แรงงาน กรรมกรและนักกีฬา ที่จะต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนัก ส่งผลให้พลังงานที่ใช้เพิ่มจำนวนขึ้นตามมา ส่วนผู้ที่ทำงานออฟฟิศ นั่งโต๊ะและออกแรงขยับเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ก็ไม่ควรให้เกินค่าที่กำหนดไว้ อีกทั้งหากต้องการลดความอ้วนก็ควรกินให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายตามปกติ ควบคู่กับการออกกำลังกายเพื่อช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำนวณแคลอรี่ ต่อวันสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

แม้ว่าจะอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก ให้คํานวณแคลอาหารที่ได้ต่อวันก็ควรให้อยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรี่เช่นเดิม เป็นเพราะว่าจะช่วยให้ร่างกายเกิดความเคยชิน ไม่ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญพลังงานจนด้อยประสิทธิภาพลง คนที่อดอาหารลดน้ำหนักจึงเสี่ยงที่จะเกิดภาวะโยโย่เอฟเฟ็คตามมาเมื่อกลับมากินในปริมาณมาก ต่างกับคนที่กินปริมาณเท่าเดิม แต่ออกกำลังกาย เลือกกินอาหารที่ร่างกายนำเอาไปใช้ได้มากที่สุด หลีกเลี่ยงไขมัน เน้นการกินโปรตีนเป้นหลักและให้คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารรอง จึงจะเป็นการลดความอ้วนที่ถูกวิธี

ในแต่ละมื้อสำหรับผู้ควบคุมอาหารอาจจะแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ เฉลี่ยแคลอรี่ในปริมาณน้อยเป็น 6 มื้อย่อย จะส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญมากกว่าการกิน 3 มื้อหลัก และยังช่วยลดความอยากอาหาร แต่สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องกินอาหาร 3 มื้อต่อวัน ก็ควรควบคุมปริมาณแคลอรี่ให้ไม่เกิน 600 กิโลแคลอรี่

สรุป

ทั้งนี้ การบริโภคอาหารแปรรูปที่มีฉลากระบุสัดส่วนแคลอรี่ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้เราสามารถคำนวณความต้องการของพลังงานที่ต้องใช้ในแต่ละวันได้แม่นยำมากกว่า แต่ก็เสี่ยงเหมือนกันที่จะได้รับเอาโซเดียมในปริมาณสูงเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น ก่อนเลือกกินอาหารประเภทใดก็ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีไปพร้อมๆ กับหุ่นสวยๆ ด้วยนะคะ

10 สัญญาณบอกโรค บ่งบอกโรคร้ายที่คุณอาจมองข้าม

ลักษณะหรืออาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย อาจเป็นสัญญาณบอกโรคที่แฝงอยู่โดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นได้ดังนั้น คุกคนควรสังเกตตตัวเองอย่าวสม่ำเสมอ และควรไปตรวจสุขภาพประจำปี หากมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย จะอาการแบบไหนบ้าง ให้เราได้สังเกตุเบื้องต้น เรามาติดตามกันเลย

10 สัญญาณบอกโรค

สัญญาณต่อไปนี้ ที่ควรระวังและให้ความใส่ใจ

1. ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น

สาเหตเกิดจาขาดกรดไขมันที่จำเป็นโดยปกติผิวหนงแห้งอาจเกิดจากการขาดน้ำ ในแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำให้มากๆแม้จะไม่รู้สึกระหายก็ตามและถ้าอยู่ในช่วงอากาศเย็นหรืออกำลังกายก็ควรดื่มน้ำมากกว่าปกติและที่สำคัญกรดไขมันในกร่างกายทำให้ผิวที่มีความชุ่มชื้นแตกแห้งได้ง่ายๆนะ

2. กระดูกเปราะ หักง่าย

เป็นเพราะร่างกายได้รับวิตามินบี 6 หรือวิตามิน บีอื่นไม่เพียงพอ ซึ่งการได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ก่อเป้นต้นเหตุของการเครียดยอ่างหนักเป็นเวลานาน ร่างกายจังต้องการวิตามินบีมากขึ้น ทำให้เกิดการขาดวิตามินชนิดนี้ได้ง่าย ดั้งนั้นควรรับประทานวิตตามิน บี 6 และวิตามินบีรวม วันละ 200 มิลลิกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ถ้าหากดีขึ้นให้ลดปริมาณลง

3. ตะคริว

เป็นอาการของเลือดที่ไหลเวียนผิวปกติ หรือการหดตัวของกล้ามเนื้อทั้งจากการขาดวิตามินอี และแม็กนีเซี่ยมจึงควรให้ร่ายกายได้รับวิตามิน E และแมกนีเซียม 400 มิลลิกรับต่อวัน และให้นวดบริเวณที่เป็นตะคริวบ่อยเพื่อช่วยผ่อนคลายและลดอาการตะคริวลง

4. อาการหดหู่

ร่างกายต้องการวิตามินบีเพื่อสร้างสื่อประสาทเพราะหากร่างกายขาดวิตามินทั้งหลายจะทำให้เกิดการซึมและเกิดอาการหดหู่ได้ดังนั้นควรให้ร่างกายได้รับวิตามินบีรวม อย่างเป็นประจำซึ่งจะช่วยทำให้ความรู้สึกหดหู่หายไป

5. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

เป็นเหตุมาจากการขาดฟลาโวนอยด์ซึ่งอยู่ในตระกูลต่อต้านอนุมูลอิสระ พบในผักและผลไม้บรรเทาได้โดยการกินสารสกัดจากแคนเบอร์รี่เข้มข้น ซึ่งในแครนเบอร์รี่มีสารฟลาโวนอยช่วยลดแบคทีเรียในร่างกายที่อยู่ในทางเดินปัสสาวะได้ หรือกินกระเจี๊ยบแคปซูนก็สามารถช่วยลดอาการได้เช่นกัน

6. เลือดออกตามไรฟัน

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ขาดวิตามินซีและโคเอนไซม์ คิว 10 เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดการอักเสบ และสามารถลุกลามจนเกิดอาการเรื้อรังได้ซึ่งนอกจากวิตามินซีและโคเอนไซม์ คิว 10 แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระก็สามารถช่วยต่อต้านแบคทีเรียได้ดี

7. ไมเกรน

อาการไมเกรน เกิดจากการขาดวิตามิน บี 2 ทำให้เส้นเลือดในสมองขยายตัวมากไปจึงเกิดอาการปวดศรีษะ นอกจากนี้ความเครียดยังส่งผลให้เป็นไมเกรนอีกด้วย ดังนั้นควรกินวิตามินบี 2 400 มิลลิกรัม และคิว 10 150 มิลลิกรัมติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน

บทความแนะนำ: อาหารลดไมเกรน และวิธีป้องกันที่คุณควรรู้

8. ใต้ตาคล้ำ

เกิดจากการแพ้หรือความเครียด ร่วมกับการขาดวิตามินบีจึงควรกินวิตามินบีวันละ 2 ครั้ง และอาหารที่มีสารต่อตานอนะมูลอิสระ และหากปล่อยให้ใต้ตาคล้ำหรือเพราะมีถุงใต้ตาจะยิ่งรักษาได้ยากอีกทั้งต้องระวังพวกเกสรดอกไม้เพราะจะทำให้เกิดการแพ้ ลดปริมาณแอลกอฮอล์และอาหารหนักก่อนนอน ส่วนวิตามินบี 6 ข่วยชับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายทำให้น้ำที่คั่งบริเวณใต้ตาลดลง

9. ความวิตกกังวล

จำเป็นต้องได้รับอาหารประเภททั่วและธัญพืช รวมทั้งโปรตีนจากปลา เพื่อให้ได้กรดอมิโนที่จำเป็นในการช่วยลดความเครียดและคลายความวิตกกังวล นอกจากนี้ควรกินวิตามินรวมและอิโนซิทอลในปริมาณวันละ 2-5 กรัมเพื่อปั้งกันการขาดวิตามิน และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย

10. ขาดประจำเดือน

เกิดจากฮอร์โมนที่ไม่สมดุล การขาดวิตามินและเกลือแร่ควรกินอาหารที่มีสารอาหารจำพวกวิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียมและวิตามินอี เพื่อช่วยปรับสมดุลและฮอร์โมนภายในร่างกายของเราอีกด้วย

สรุป

ถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังเจอ สัญญาณบอกโรค ที่ได้กล่าวข้างต้นหรือกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กลับมาดี หรือไปตรวจสุภาพ ตามโรงพบาลใกล้บ้านเพื่อรักษาสุขภาพกันตั้งแต่เนินๆ จะดีกว่าค่ะ

วิธีป้องกันอาการผิดปกติสายตา พร้อมเทคนิคการดูแลเบื้องต้น

ไม่อาจเถียงได้ว่าในประสาทสัมผัสการรับรู้ สายตานั้นมีความสำคัญมากเพียงใด เพราะภาพที่เห็นทำให้รับรู้และบอกได้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกและสามารถเก็บภาพประทับใจไว้ในจิตใจได้ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น การทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายย่อมเสื่อมถอยลง รวมถึงดวงตาด้วย ซึ่งทำให้ความสามารถในการมองเห็นเปลี่ยนไป

วิธีป้องกันอาการผิดปกติสายตา

ในผู้สูงอายุ มักจะอาการผิดปกติทางสายตา โดยเริ่มตั้งแต่วัย 50 ปีขึ้นไปและยิ่งอายุมากขึ้น สายตาก็จะยิ่งแย่ลง ซึ่งปัญหาทางสายตาอาจเปิดได้หลายรูปแบบ เช่น มองเห็นไม่ชัด ภาพซ้อน ภาพขุ่นมัว และในบางรายร้ายแรงจนถึงขั้นตาบอด
อาการและการรักษา

อาการเริ่มแรกของความผิดพลาดทางสายตาในผู้สูงอายุนั้น เริ่มมาจากเนื้อเยื่อชั้นในสุดส่วนหลังของลูกตา ที่มีหน้าที่รับภาพจากแก้วตาถูกทำลาย ทำให้การมองเห็นภาพต่างๆไม่ชัด อ่านหนังสือลำบากขึ้น กะระยะผิดพลาด ภาพที่เห็นต่างจากความเป็นจริงหรืออาจขาดสีสันออกเป็นสีเทาดำ หรือเห็นเป็นจุดดำๆในภาพทั้งๆ ที่จริงแล้ววัตถุอยู่กับที่

อาการเหล่านี้อาจรักษาได้โดยการทำเลเซอร์ได้ แต่ผลลัพธ์ไม่แน่นอนอาจหายเพียง 60 เปอร์เซ็นต์ และในบางรายอาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีกครั้ง หรืออาจต้องผ่าตัดซึ่งเป็นอันตรายเกิดไปและทั้งสองทางเลือกนี้ก็มีค่าใช้จ่าสูงมาก

สาเหตุของอาการผิดปกติ

สำหรับสาเหตุที่แน่นอนที่ทำให้เกิดความผิดปกติทางสายตาในผู้สูงอายุ แต่ปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิดอาการเหล่านี้มาจากอายุ และการได้รับแสงอัลตราไวโอเลตมาเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกัน ระดับคลอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่จัด พันธุกรรม รวมไปถึงมีสารอาหารที่จำเป็นในเลือดต่ำ เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินซี ซึ่งเป็นตัวเสี่ยงให้เกิดโรคทางสายตา และจากการศึกษาพบว่าผู้หญิงจะปีปัญหาทางสายตามากกว่า

จากกรศึกษานิตยสาร Ophthalmology พบว่า คนที่ใช้ยาสำหรับรักษาไทรอยด์ทำให้เก่อให้เกิดอาการผิดปกติทางสายตามากกว่าปกติ และคนที่มีปัญหากระดูกและข้อก็มีปัจจัยเสี่ยงสูงเช่นกัน

อาหารเป็นอีกปัจจัยหลักที่ช่วยลดการเกิดปัญหาทางสายตาช่วยถนอมสายตาและไม่มีคำว่าสายเกิดไปที่จะหันมาดูแลตัวเองเพื่อสุขภาพที่ดี โดย วิธีป้องกันอาการผิดปกติสายตา สามารถเริ่มได้จาก

  1. ถ้าคุณสูบบุหรี่ สารในบุหรี่จะทำให้เกิดปัญหาทางสายตาหรือความผิดปกติของดวงตา
  2. การทดสอบดวงตาก เมื่อเกิดความผิดปกติของเส้นเลือดในดวงตาหรือจุดผิดปกติในดวงตา เลยเซอร์สามารถทำลายความผิดปกตินี้ก่อนที่จะเกิดอันตรายได้
  3. สวมแว่นกันแดด เพราะแว่นกันแดดช่วยในการป้องกันแสงแดดที่อาจกระทบกับดวงตาโดยตรง
  4. จำกัดปริมาณไขมันในอาหาร โดยเฉพาะไขมันจาน้ำมันปาล์มและพวกไฮโดรจีเนท ซึ่งเป็นไขมันพืชที่ยังแข็งตัวอยู่ในอุณภูมิโดยการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
  5. กินอาหารประเภทปลาให้มากขึ้น เพราะในปลามีโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้
  6. กาเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ จำพวกวิตามินเกลือแร่ ซึ่งสามารถทำได้โดยการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ

ปฏิทินวันหยุดและวันสำคัญ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 (ตามปฏิทินสากล)

สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยมีวันหยุดยาว 3 วัน เนื่องในวันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ และมีการกำหนดให้มีวันหยุดชดเชยในวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ วันหยุดยาวนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีให้ทุกคนได้หยุดพักผ่อน และทำความดีเพื่อเสริมสร้างจิตใจให้แจ่มใส

วันหยุดเดือนกุมภาพันธ์ 2567

วันหยุดกุมภาพันธ์ 2567

1. วันมาฆบูชา

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 – เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสทำบุญและรำลึกถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนา

2. วันหยุดชดเชยวันมาฆบูชา

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 – วันหยุดชดเชยมาฆบูชา

เคล็ดลับวิธีแก้แฮงค์ อาการเมาค้าง แบบเร่งด่วน ตื่นมาไม่ปวดหัว

เคยมั้ยที่คุณออกไปปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อนๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ วันนี้ขอจัดเต็มพอตื่นเช้ามาวันรุ่งขึ้น มีอาการแฮงค์ เพลีย ปวดหัว และรู้สึกอยากจะอ้วกตลอดเวลา นี่แหละเป็นสาเหตุของ อาการเมาค้าง หากคุณเป็นนักดื่มตัวยงที่ชอบดื่ม หรือดื่มเพียงนิดหน่อยต้องออกงานเท่านั้นคุณอาจประสบปัญหาอาการเมาค้างได้เช่นกัน วันนี้เรามี วิธีแก้แฮงค์ มาแนะนำซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัย สะดวกและสามารถทำได้ง่ายๆ

วิธีแก้แฮงค์ อาการเมาค้าง

โดยพยามดื่มน้ำสลับกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แบบแก้วต่อแก้วไปเลย เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยเมื่อน้ำออกจากร่างกายทำให้น้ำในร่างกายลดลง จึงทำให้เกิดอาการคลื่นไส้วิงเวียน การดื่มน้ำสลับกับการดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยให้กระเพาะของคุณ มีพื้นที่สำหรับบรรจุแอลกอฮอล์ไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการเมาค้างได้ เคล็ดลับแนะนำในเบื้องต้น ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกทำดังต่อไปนี้

  • เลือกประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ควรเลือกดื่มวอดก้าที่เป็นเหล้าใสๆ มากกว่าเหล้าที่เป็นสีเข้มๆ อย่างวิสกี้ หรือ เหล้าปกติ
  • ให้เลือกเครื่องดื่มประเภทเบียร์ เพราะสามารถเลือกดื่มเบียร์ที่มีดีกรีน้อยๆ หรือที่เรียกกันว่า เบียร์ผู้หญิง เพื่อป้องกันอาการเมาค้าง หากดื่มในปริมาณมากๆ
  • เป็นไปได้ก็ควรกินวิตามินบีรวม ที่มีวิตามินบี 6 ผสมอยู่ก่อนการดื่ม เพราะวิธีนี้จะช่วยกำจัดแอลกอฮอล์ ให้ออกจากกระแสเลือดได้รวดเร็วที่สุด จึงทำให้คุณฟื้นตัวเร็วและไม่มีอาการแฮงค์ในตอนเช้า

โดยทั่วไปแล้ว อาการเมาค้างจะเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากจนเกินไป ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำนั่นเอง สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการดื่มน้ำให้มากๆเมื่อคุณตื่นนอนในตอนเช้าคุณจะรู้สึก คอแห้ง และเวียนศรีษะ การดื่มน้ำผลไม้สัก 1-2 แก้วจะช่วยสร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทำให้สร่างเมาได้ จากนั้นให้หายาพาราเซตามอลมากินซักเม็ด เพื่อลดอาการปวดศรีษะได้

ปัจจุบันมียา ยาแก้แฮงค์ ตามร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อรวมไปถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ทั้งชนิดน้ำและเม็ดให้เลือกซื้อได้อย่างสะดวก แต่วิธีที่ดีที่สุดที่สามารถ แก้อาการเมาค้าง ได้อย่างมีประสิทธิ์ ก็คือดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เมาะสมและดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยให้คุณตื่นมาอย่างสดชื่นและไม่มีอาการทรมานให้ต้องคอยแก้ไข อย่างไรก็ตามนักดื่มแอลกอฮอล์ตัวยทั้งหลายควรระวังเรื่องสุขภาพด้วย โดยเฉพาะสุขภาพตับนั้นต้องระวังเป็นพิเศษ วิธีการกินอาหารที่สามารถบำรุงตับของผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยมีวิธีง่ายๆ ที่สามารถทำได้อีกเช่น

  1. การดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
  2. เลือกกินอาหารประเภทแป้ง แทนขนมขบเคี้ยวที่มีแต่ความหวาน เพื่อเป็นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในสภาวะปกติ
  3. เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกาย โดยการกินผักและผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวซึ่งวิตามินซี สูงอย่างมะนาว ส้ม มะขาม แครอท
  4. ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ขณะท้องว่าง ควรดื่มในเวลาที่รับประทานอาหารแล้วเท่านั้น และหลังดื่มเสร็จควรดื่มนมตามไปด้วยเพื่อไม่ให้ตับต้องทำงานหนักหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์

อย่างไรก็ตามเนื่องจากสังคมปัจจุบันบางครั้งการดื่มแอลกอฮอล์ อาจเป็นวิธีการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการพบปะผู้คน และเข้าสังคมดั้งนั้นเราควรที่จะใสใจดูแลสุขภาพตัวเองด้วย เพื่อเช้าวันทำงานตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว จนไม่สามารถไปทำงานได้นะคะ…

แนะนำ อาหารลดไมเกรน และวิธีป้องกันที่คุณควรรู้

ถ้าหากเราจะพูดถึงโรคยอดฮิตของคนเมืองกรุงส่วนใหญ่แล้วคงหนีไม่พ้น ไมเกรน ไม่ว่าจะช่วงอายุไหน ก็สามารถเกิดได้ทั้งนั้น โรคนี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้ใหญ่ เด็กก็สามารถเป็นได้ และที่พบบ่อยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นมากทีเดียว โดยอาการไม่เกรนคืออาการปวดศรีษะเรื้อรังที่จะทำให้เรารู้สึกทรมานไม่น้อย ส่วนมากจะมีอาการปวดบริเวณขมับหรือเบ้าตาเป็นระยะเวลา 4-5 ชม.หรืออาจกินเวลานานถึง 2-3 วัน โดยที่บางครั้งอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย

อาหารแก้ปวดหัวไมเกรน

เรามาทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้อาหารเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการบรรเทาไมเกรน และแนะนำวิธีการเตรียมอาหารที่สามารถเพิ่มประโยชน์ของสารอาหารเหล่านี้ เรายังจะแนะนำเมนูอาหารง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อช่วยให้สามารถจัดการกับอาการไมเกรนได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในทุกๆ วัน กันค่ะ โดยจะเน้นไปที่การเลือก อาหารลดอาการไมเกรน และเสริมสร้างสุขภาพที่ดี จากการวิจัยยังพบว่า มีสารอาหารบางชนิดที่สามารถ ช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้เป็นอย่างดี ซึ่งสารอาหารดังกล่าว ได้แก่ วิตามิน บี2, แคลเซียม, แมกนีเซียม ซึ่งแคลเซียมแมกนีเซียมจะช่วยเพิ่มประสิธิภาพในการทำงานของระบบประสาทและหลอดเลือด ส่วนวิตามิน บี2 นั้นจะช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ของหลอดเลือด

ส่วนอาหารที่จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรนส่วนมากแล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทสารปรุงแต่งรสชาติในอาหารต่างๆ เช่น สารให้ความหวานแอสปาแตม สารโมโนโซเดียมกลูตาเมตไทรามีน ซึ่งพบในช็อกโกแลต เนยแข็ง สารกาเฟอีนในชา การแฟ โคล่า รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเหล้าเบียร์ หรือไวน์

วิธีการบรรเทาอาการไมเกรนเบื้องต้น

เราสามารถทำได้โดยการรับประทานยา รักษาไมเกรนเท่านั้นซึ่งยากแก้ปวดธรรมดาไม่สามารถรักษาอาการไมเกรนได้ ยาที่ใช้รักษาอาการควรสอบถามแพทย์และเภสัชกร หากรับประทานยาแก้ปวดหัวไมเกรนแล้วให้ นวดบริเวณที่ปวดเบาๆ ตรงขมับเผื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโรคไหนเราควรที่จะมีวิธีป้องกันมากกว่ารักษาที่ปลายเหตุ หากเรารู้จักเลือกรับประทาน อาหารลดไมเกรน ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เราก็จะสามารถมีสุขภาพที่ดีและสมองก็ยังดีตามไปด้วย ไม่เสื่อมตามวัย

อาหารบำรุงสมองนั้นมีมากมาย เช่น ธัญพืชและผลไม้นั้นมีผลในการควบคุมสัญญาณของประสาทซึ่งเกียวกับความจำ เพราะจะเข้าไปเพิ่มระดับของน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นนั่นเอง ทำให้เป็นที่มาของอาการปวดหัว ปลาชนิดต่างๆ อย่างเช่น ปลาทูน่า, ปลาแซลมอน, ปลาสำลี, ปลาช่อน ล้วนมีสารเมก้า 3 อยู่ในปริมาณที่สูง ซึ่งช่วยสร้างน้ำที่เยื่อหุ้มเซลล์สมอง ทำให้เกิดการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์กับประสาททำงานดีขึ้น ผักชนิดต่างๆ ทำให้สมองมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย รวมทั้งยังมีตับ ถั่ว นม และไข่ที่ช่วยให้ความจำดีขึ้น โดยเฉพาะทารกในครรภ์ที่ต้องการสารอาหารจากอาหารเหล่านี้มาก

นอกจาก อาหารแก้ปวดไมเกรน ได้ด้วยแล้ว ผลวิจัยยังค้บพบว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละ 1 แก้ว/ต่อวัน สามารถช่วยให้ลดอาการโรความจำเสื่อมและสมองฝ่อได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามหากดื่มในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดโทษได้ด้วยเช่นกัน  สุดท้ายแล้วอยากจะฝากถึงผู้อ่านที่รักสุขภาพ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง การป้องกันการเกิดมักดีกว่าการรักษาโรค ด้วยการดูแลสุขภาพตัวเองกันเนิ่นๆ กันดีกว่านะคะ

อาการไมเกรน ไม่ใช่แค่ปวดหัว มารู้สาเหตุและอาการเริ่มต้นกัน

ปวดหัวไมเกรน (Migraine Headache) เป็นส่วนหนึ่งของโรคปวดศีรษะรุนแรง เป็นอาการปวดหัวแบบปวดแปลบอย่างสาหัสและมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีอาการคลื่นไส้ ตาลาย สูญเสียการทรงตัว หรือ อื่นๆ ซึ่งผู้คนมากกว่า 1 ใน 16 ผู้ป่วยเป็นไมเกรนส่วนใหญ่จากผลการวิจัย มักพบที่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

สัญญาณเตือนปวดหัวไมเกรน

อาการปวดหัวไมเกรน เกี่ยวข้องกับการทำงานของเส้นเลือดและเส้นประสาทในสมอง หดตัวและถูกขยายให้กว้างออกเป็นการกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ จากการศึกษายังพบอีกว่า อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนนี้เกี่ยวข้องกับอาการป่วยอย่างรุนแรงทางร่างกายเช่น เส้น เลือดแดงโป่งพอง ปัญหาการมองเห็นของสายตา โรคทางปาก ฟัน หรือเหงือก ซึ่งอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ สาเหตุอาจเกิดจากอาการในรุ่นปู่ย่าและหายไปในรุ่นพ่อ แล้วกลับมาแสดงอาการอีกครั้งในรุ่นหลาน

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงมี อาการไมเกรน มากว่าผู้ชายก็เพราะในช่วงที่มีรอบเดือน ปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน ลดต่ำลง ทำให้เกิดอาการปวดหัวแบบไมเกรนมากในช่วงนี้ และถึงแม้ว่าไมเกรนมักจะเกิดในผู้ใหญ่ตั้งแต่ช่วงอายุ 35 ปี แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในเด็กได้เช่นกัน

5 สัญญาณเตือนว่าเป็นอาการไมเกรน

  1. ก่อนเป็นไมเกรนหนึ่งวันก่อนหน้านั้นจะเริ่มปวดศีรษะ อารมณ์และความจำเปลี่ยนแปลงคิดอะไรไม่ออก สมองมึนตื้อ อาจพูดติดขัดบ้าง
  2. ก่อนเริ่มปวดศีรษะ บางคนรู้สึกเหมือนเห็นแสงผ่านหรือมีประกายระยิบระยับ บางคนชาบริเวณมือและปาก เหล่านี้เป็นสัญญาณของการเกิดอาการไมเกรน
  3. เริ่มปวดศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะปวดข้างเดียวหรือปวดพร้อมกันทั้งสองข้างก็ได้ โดยจะเริ่มจากปวดอีกข้างหนึ่งเริ่มไปอีกข้างหนึ่งและอาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย
  4. เมื่ออาการทุเลาลง อาการปวดกล้ามเนื้อและอาการคลื่นไส่จะลดลงด้วยเช่นกัน
  5. มีอาการอ่อนเพลีย ง่วง ซึม ต้องการนอนพักอยู่ตลอดเวลา

ปัจจัยที่ก่อให้เกิดไมเกรน ได้แก่ โรคภูมิแพ้ ความเครียดสะสมความผิดปกติของตับ อาการท้องผูก นอนมาก หรือนอนน้อยเกินไป ระดับฮอร์โมนที่เปลี่นแปลงขาดการออกำลังกาย การจ้องมองแสงที่นานเกิน สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยเฉพาะกับคนที่เดินทางเป็นประจำ

นอกจากนี้ภาวะความดับโลหิตต่ำยังเกี่ยวข้องกับไมเกรนอีกด้วย เนื่องจากพบว่าเมื่อเกิด อาการปวดหัวไมเกรน ความดันโลหิตจะต่ำลง ซึ่งคนที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำมักจะปวดศีรษะ วิงเวียน และเป็นลมง่ายกว่าปกติ

อาหารช่วยลดอาการไมเกรน

  • แคลเซียมแมกนีเซียม เป็นเกลือแร่ที่ช่วยในการขนส่งกระแสประสาทไปยังร่างกายและสมอง
  • โคเอนไซม์ 10 ช่วยให้เลือดไหลเวียนสู่สมอง และช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น
  • วิตามินบีรวม ช่วยให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองได้เพียงพอ ช่วยในการหายใจของเซลล์ต่างๆ
  • กระเทียมสามารถช่วยขับถ่ายของเสีย ออกจากร่างกาย
  • วิตามินซี ช่วยขับฮอร์โมนที่ช่วยลดความเครียด และเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย

รู้ทันอาการนอนไม่หลับ ภัยร้ายต่อสุขภาพ ที่คุณอาจะคาดไม่ถึง

คนส่วนใหญ่มักเคยประสับ ปัญหานอนไม่หลับ หรือง่วงแต่นอนไม่หลับ เช่น พอตอนเช้าแล้วอยากนอนต่อ หรือตื่นนอนแล้วยังรู้สึกอ่อนเพลียไม่สดชื่น การนอนหลังไม่ดีเพียงไม่กี่ครั้งอาจทำให้ไม่ทันคิดว่าเป็นการนอนไม่หลับ

อาการนอนไม่หลับภัยร้ายต่อสุขภาพ

แบบไหนถึงเรียกว่านอนไม่หลับ

ในทางการแพทย์ อาการนอนไม่หลับ หมายถึง นอนหลับยาก การนอนไม่ต่อเนื่องหรือหลังจากหลับแล้วจิตใจไม่สดชื่น ร่างกายไม่รู้สึกมีชีวิตชีวา การนอนไม่หลับอาจเกิดขึ้นชั่วคราวหรือเป็นต่อเนื่องมากกว่าหนึ่งปี หรืออาจน่ากลัวไปจนถึงนอนไม่หลับไปตลอดชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลถึงคุณภาพชีวิตทำให้ร่างกายจิตในเสียความสมดุล การนอนไม่หลับไม่ใช่โรคแต่เป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับอาการปวดศรีษะ ปวดท้อง ซึ่งสาตุเกิดจากโรคหวัด และอาจเกิดขึ้นจากการได้บรับแรงกดดันสูง

เราต้องหาสาเหตุให้พบแล้วรักษาใหตรงจุดจึงจะได้ผลอย่างแท้จริง คนทั่วไปมักเข้าใจว่าสาเหตุของการนอนไม่หลับคือความเครียดหรือความกังวลเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วทราบหรือไม่ว่าสาเหตุของการนอนไม่หลับไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ความเครียดและความกังวลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความผิดปกติของร่างกายก็อาจทำให้เกิด โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ได้เช่นกัน เมื่อค้นหาโรคที่เป็นสาเหตุให้พบแล้วรักษาให้หายจึงจะรักษาโรคนอนไม่หลับให้หายขาดได้ ไม่ใช่รักษาแต่อาการนอนไม่หลับอย่างเดียว

อาการนอนไม่หลับมีอะไรบ้าง?

อาการหลับยาก แต่ละคนใช้เวลาหลังจากเข้านอนจนถึงหลับไม่เท่ากันโดยปกติทั่วไปใช้เวลาประมาณ 10-20 นาทีจึงจะหลับ ถ้าเข้านอนแล้วผ่านไปครึ่งชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงแล้วยังพลิกตัวไปมากระสับการะส่ายกว่าจะได้หลับก้ดึก หากสภาพเช่นนี้ดำเนินไปหลายวันถือว่าเป็นอาการนอนไม่กลับแบบหลับยาก คนที่มีอาการแบบนี้มักติดนิสัยคิดฟุ้งซ้านก่อนนอน ยิ่งถ้ากังวลว่าตนเองนอนไม่หลับแล้ว ยิ่งทำให้นอนหลับยากขึ้นไปอีก

1. อาการหลับๆ ตื่นๆ

คนที่มีอาการนอนไม่หลับแบบหลับๆตื่นๆ แม้จะหลับง่ายแต่ก็มักเข้าสู่ระยะหลับสนิทหรือหลับลึกได้ยาก ฝันบ่อยๆตื่นง่ายรู้สึกตื่นกลางดึกง่ายมากมักจะตื่นเพราะได้ยินเสียงแม้เพียบเบาๆหรือเสียงคนข้างๆพลิกตัวผู้เป็นแบบนี้มักรู้สึกนอนไม่อิ่ม

2. ตื่นเช้าเกินไป

เป็นอาการนอนไม่หลับแบบนี้มักตื่นก่อนเวลาที่ควรตื่นประมาณ 2 -3 ชม.ไม่ว่าจะเข้านอนดึกแค่ไหนก็ตาม และหลังจากตื่นแล้วมักจะหลับต่อยากหรืออยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ฝันซ้ำซาก ถ้าตื่นก่อนเวลาเป็นประจำอาจเป็นเพราะความชรา หรือเพราะความผิดปกติด้านจิตใจเช่น โรคซึมเศร้า โรคกังวล ผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับส่วนใหญ่มักเป็นแบบผสมคือแบบที่กล่าวมาข้างต้นสองแบบรวมกัน

ปฏิทินวันหยุดและวันสำคัญ เดือนมกราคม 2567 (ตามปฏิทินสากล)

มกราคมเป็นเดือนแรกในปฏิทินไทยและสากล เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่และเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง การตั้งเป้าหมายใหม่และการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายใหม่สำหรับปีที่จะมาถึง เช่น การเรียน การทำงาน หรือความสัมพันธ์ใหม่ เป็นต้น

วันหยุดเดือนมกราคม 2564

วันหยุดมกราคม 2567

1. วันขึ้นปีใหม่ ส่งท้ายปีเก่า (New Year’s Eve)

วันจันทร์ 1 มกราคม 2567 – วันหยุดประจำปีที่ฉลองต้อนรับปีใหม่

2. วันเด็กแห่งชาติ (Children’s Day)

วันที่ 13 มกราคม หรือวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม – วันนี้เป็นวันที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญและฉลองความเป็นเด็ก มักมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายสำหรับเด็กๆ ทั่วประเทศ

3. วันครู (Teacher’s Day)

วันที่ 16 มกราคม – วันที่ได้รับการยกย่องและเฉลิมฉลองคุณค่าของอาชีพครูในประเทศไทย